เรียนรู้ที่จะรวบรวมความกล้าลาออกจากงานเพื่อเดินทางรอบโลก 1 ปี
Posted on May 10, 2014 13:40


คิดว่าเราทุกคนคงมีที่เรียกว่า bucket list หรือรายการที่อยากจะทำก่อนตาย เดินทางรอบโลกคือหนึ่งในรายการนั้น จากหลายปีที่ผ่านมามีแต่การทำงาน และพอดีงานที่ทำเป็นงานที่ชอบ เลยทำให้เพลิดเพลินจนถึงวันหนึ่ง เป็นสัปดาห์สุดท้ายของปี 2010 ซึ่งเป็นเวลาเกือบหนึ่งปีก่อนการเดินทาง ก็ตัดสินใจว่าได้เวลาแล้ว การตัดสินใจใช่ว่าเฉพาะเรื่องเวลาที่เป็นปัจจัยในการตัดสินใจเท่านั้น ยังมีเรื่องรายได้ เรื่องงาน ที่กำลังไปได้สวยนั้น ทำไมอยู่ดี ๆ จะลาไปตั้ง ปี ไม่ขาดช่วงเหรอ ไม่เสียดายเงินเดือนที่จะต้องสูญเสียไปเหรอ ไหนจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางอีก แล้วกลับมาจะมีงานทำเหรอ คำถามเหล่านี้เกิดขึ้นกับทุกคนที่กำลังทำงานอยู่ ต้องยอมรับว่าไม่ง่ายเลย เพราะคิดกลับไปกลับมาประมาณร้อยครั้ง พันครั้ง พยายามหาเหตุผลมาประกอบข้อดี ข้อเสีย แล้วก็อยู่ในวังวนนั้น ทั้งช่วงก่อนบอกเจ้านาย และหลังจากบอกไปแล้วถึงอีกสองเดือนจึงสามารถตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะต้องทำมันเกิดขึ้นให้ได้ และได้เวลาหยุดคิดวนไปวนมาเสียที

การตัดสินใจทำบนพื้นฐานเกี่ยวกับหลาย ๆ อย่าง พอสรุปได้ดังนี้

1. สำคัญที่สุดคือ เราอยากทำจริงๆ หรือไม่ สำคัญกับเราแค่ไหน สิ่งที่เราจะทำจะให้อะไรกับเราบ้าง เช่นความรู้ที่หาไม่ได้ในห้องเรียน การเรียนรู้ที่เราจะได้จะทำให้เราเป็นคนที่เก่งขึ้น ดีขึ้น แบบที่ห้องเรียนให้ไม่ได้ เราจะได้เห็นโลก ได้ไปสัมผัสวัฒนธรรม ได้พูดคุยกับคนชาติอื่นๆ ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ที่ไม่ว่าจะสารคดีใดๆ หนังสือเล่มไหนๆ หรือเพื่อนคนอื่นๆ มาเล่าให้ฟังอย่างละเอียด ก็เทียบไม่ได้ เราจะได้มีความทรงจำที่ดีๆ จากประสบการณ์นี้ติดตัวเราไปจนวันตาย เราจะสามารถเพิ่มศักยภาพหลายๆ ด้านที่ไม่ว่างานไหน หรือกิจกรรมอื่นใด ก็ไม่สามารถให้ได้ และที่สำคัญที่สุด เราจะมีความสุขแค่ไหนกับการเดินทางครั้งนี้ การเดินทางครั้งนี้จะทำให้เรามีความสุขมากกว่ามีรถหรูหนึ่งคัน หรือมีบ้านหลังใหญ่ขึ้น หรือไม่ เมื่อรวบรวมความคิด หาตรรกะมาตอบแล้วว่า อันนี้คือสิ่งที่เราอยากทำ เราจะได้อะไรมากมายจากการเดินทาง ก็ควรทำมันซะ

2. งาน

ลักษณะงานแต่ละคนไม่เหมือนกัน งานของเราเป็นแบบโปรเจค หรือแบบโครงการ มีวันเริ่ม มีวันจบชัดเจน ไม่เหมือนการทำงานประจำ อันนี้ก็เป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับลักษณะงานประจำ ถ้าจบโปรเจคสามารถบอกได้ว่าเมื่อไหร่จะทำอีก แต่ข้อเสียคือขาดช่วง บริษัทที่อยากให้เราทำต่อไป ก็รู้สึกว่าเราไม่ให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ก็แก้ไขโดยการบอกล่วงหน้านาน ๆ เพื่อว่าบริษัทจะได้รู้ว่าต้องหาคนอื่นมาแทน หากมีโปรเจคถัดไป (กรณีนี้เราบอกล่วงหน้าถึง 1 ปีเลยทีเดียว จะได้ไม่ผิดใจกัน)​ แต่ถ้าเป็นงานประจำ อันนี้คงต้องทำการคิดให้ดี

กลับมาอาจจะไม่มีงานก็ได้ และระหว่างที่ไปไม่มีรายได้ ดังนั้นเราอาจจะคิดเป็นทางเลือกว่า เดินทางแบบตอนวันหยุดอำนวยก่อน ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นลาออกก็ได้ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมบวกกับตั้งใจของแต่ละคน ถ้าอยากจะทำแบบลาออกแล้วเดินทางก่อน กลับมาค่อยกลับมาดูว่ามีงานอะไรบ้างนั้น ก็สามารถทำได้ ซึ่งเราคงต้องวางแผนล่วงหน้านานหน่อย อาจจะ 2 ปีล่วงหน้า และในช่วงระยะเวลา 2 ปีนั้นก็สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองว่า เราทำงานดี มีความสามารถขนาดไหน ไม่ว่าเราจะหายไปเพื่อเดินทางเป็นปี กลับมาก็เชื่อว่าไม่น่าจะหางานยาก ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง หรือสำหรับคนพี่เพิ่งจะเรียนจบและอยากจะเดินทางนั้น อันนี้ก็ไม่ยากเพราะยังไม่มีอะไรผูกมัด มีอย่างเดียวคือจะหาเงินที่ไหนสำหรับการเดินทางเท่านั้น

3. เงิน

คนที่มีงานและมีรายได้อยู่แล้วนั้น จะเกิดการคิดวนไปมาหลายรอบมาก เพราะเราคิดว่าเราเสียรายได้ แถมยังต้องไปใช้จ่ายอีก คิดหาความคุ้มค่า อันนี้ขอบอกว่าถ้าคิดเช่นนี้อยู่ การเดินทางไม่เกิดขึ้นแน่นอน ต้องเปลี่ยนความคิดว่าเราจะได้อะไรจากการเดินทาง รายได้ที่เสียไปนั้น ก็คิดซะว่าเราจ่ายค่าเทอมการเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิต อันจะเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตเรานั้น คิดว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม ปริญญาที่เราได้มาส่วนใหญ่เกิดจากการเรียนในห้องเรียนและตามตำรา อาจจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นระหว่างกัน ชมงานตามสถานที่ต่าง ๆ บ้าง แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่จะได้จากการประสบพบเจอด้วยตัวเอง เรียนเอง หาข้อมูลเอง ผิดถูก รู้เอาเอง ฝึกหัดและเรียนรู้ บนเส้นทางการเดินทางเอง เราคิดว่าอันไหนดีกว่ากัน ถ้าคิดว่าการเดินทางได้ประสบพบเจอด้วยตัวเองจะสอนอะไรมากมายกว่านั้น ก็ไม่ต้องคิดนาน ลงมือทำเลยดีกว่า คิดซะว่าจ่ายค่าเรียนปริญญาอีกหนึ่งใบก็แล้วกัน

เราเป็นคนกำหนดชีวิตเรา คนอื่นกำหนดไม่ได้ การเดินทางจะเกิดขึ้นได้ เราต้องเป็นคนกำหนด และตัดสินใจเอง เมื่อตัดสินใจแล้ว เรื่องอื่นๆ ก็เป็นเรื่องที่เราสามารจัดการได้ไม่ยากเลย

และจากการตัดสินใจเมื่อปลายปี 2010 เราก็ได้เดินทางปี 2012 ไปถึง 6 ทวีป 33 ประเทศ 

align=


align=

#thaitraveltheworld