Morocco ประเทศแห่งทะเลทรายซาฮาร่า ตอนที่ 1
Posted on January 18, 2014 14:22


เมื่อปลายเดือนมกราคม ปี 2012 ได้เดินทางไปยังประเทศโมรอคโค (ต่อจากอินเดียและเนปาล) ประเทศนี้มีความหลากหลายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภูมิอากาศ อาหารการกินอยู่ วัฒนธรรม และความแตกต่างทางชนชั้น 

ภูมิอากาศที่เริ่มจากทะเลทราย ไปจนถึงหิมะ 

อาหารพื้นเมืองของโมรอคโค ขึ้นชื่อเรื่องรสชาดเป็นเลิศ และถือเป็นอาหารสุขภาพด้วย

ทางด้านศาสนาและวัฒนธรรม ประเทศโมรอคโคเป็นประเทศมุสลิมที่มีความทันสมัย ผสมกับมุสลิมแบบเก่า ถึงขั้นว่าถ้าคุณเป็นผู้หญิงเดินคนเดียว หรือเดินกันเฉพาะผู้หญิง จะถูกมองว่าเป็นผู้หญิงอย่างว่า และไม่มีผู้หญิงนั่งใน coffee shop เลย ถ้าเค้าเดินในห้างเค้าจะเดินกันเป็นครอบครัวมีผู้ชายด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็มีผู้หญิงที่ไม่ใส่ชุดคลุมตัว คลุมผม และหน้าแล้ว แต่งตัวแบบทันสมัย ขับรถด้วย 

ถ้าคุณเป็นผู้หญิงต่างชาติ โดยเฉพาะผู้หญิงผิวขาว (แต่ถ้าเป็นผิวเหลืองอย่างเราเค้าจะเดาว่าเป็นญี่ปุ่นหรือเกาหลี เพราะคนประเทศเหล่านั้นมีตังค์) เดินแบบไม่มีผู้ชายไปด้วย คุณจะถูกเชิญชวนให้เป็นแฟนพวกเค้าทันที ถ้าเดินในตลาดเค้าจะถามว่า “do you want to buy bag, purse, etc? / ซื้อกระเป๋ามั๊ยครับ เราตอบ “no thank you/ไม่ค่ะ ขอบคุณ” เค้าจะถามทันทีว่า “do you want a boy friend or husband?/ต้องการเพื่อนชาย หรือสามีมั๊ยครับ” เป็นไงล่ะ 

ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เพราะชาวโมรอคโคชนชั้นแรงงานต้องการความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเค้าอยากจะออกจากประเทศเค้าไปมีชีวิตในที่ใหม่ เนื่องจากโอกาสการจ้างงาน หรือโอกาสการทำมาหากินที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นในประเทศนั้นจำกัด ผู้หญิงยุโรปหลายๆ คน ตกหลุมรักกับชายชาวโมรอคโคก็มากมาย ขอบอกว่าผู้ชายโมรอคโค หน้าตาดีนะคะ ก็เหมือนชาวอาหรับ หน้าตาคม แบบแขก แต่ผิวขาว อาจมีหัวหยิกบ้าง แต่น่ารักค่ะ (เอ้า สาวๆ อยากไปเรย 555) 

สิ่งหนึ่งในฐานะผู้หญิงเดินทางคนเดียวในประเทศมุสลิม อาจจะต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะคนจะเห็นนักท่องเที่ยวแล้วจะชอบเข้ามาตื้ออย่างหนัก เค้าไม่ได้จะทำร้าย แต่เพราะอยากออกจากประเทศนี้จัด เค้าถึงจะตื้อจนเรารำคาญ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นอย่างนี้ทุกคนและทุกที่ ทางที่ดีถ้าจะเดินไปไหนคนเดียว เลือกที่คนเยอะพลุกพล่าน กลางคืนควรงดไปคนเดียว 

ส่วนเรื่องเครื่องดื่มอัลกอฮอล์ ประเทศนี้เป็นประเทศมุสลิมที่เคร่งครัด แต่ไม่ถึงขั้นประเทศลิเบีย ที่เค้าเล่ากันตลกๆ ว่า เค้าห้ามดื่มเครื่องดื่มอัลกอฮอล์เด็ดขาด และถ้าเค้าเห็นคุณถือกระป๋องเบียร์ เค้าจะมาดึงจากคุณไปเพราะเค้าเคร่งครัดมาก แต่ที่โมรอคโคไม่ถึงขนาดนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะมาดื่มกันได้ทุกที่ ขนาดที่พักที่เราพักเป็นโรงแรม แต่เป็นโรงแรมที่ไม่ขายเครื่องดื่มอัลกอฮอล์ แต่อนุญาตให้ไปซื้อที่ร้านแล้วมานั่งดื่มได้ ห้ามเสียงดัง ดื่มเสร็จเก็บให้เรียบร้อยด้วย ถ้าเราไปแบบโฮมเตย์ อันนี้เกือบทุกบ้านห้ามเลย ก็ดีเหมือนกัน เป็นทริปที่ประหยัดค่าเครื่องดื่มอัลกอฮอล์ไปได้โข ได้ลองดื่มเบียร์ท้องถิ่นยี่ห้อนี้ รสชาดก็โอเคค่ะ แต่ไม่ได้ดื่มทุกวัน เพราะส่วนใหญ่ห้ามอย่างที่บอกไป 

นอกจากนี้ประเทศโมรอคโค ถือเป็นประเทศตากอากาศของชาวยุโรป เพราะใกล้ ราคาถูก อาหารอร่อย แต่การเดินทางของเราไปที่โมรอคโคครั้งนี้ไม่ได้ไปแบบตากอากาศแต่อย่างใด ไปเพื่อให้รู้ ได้สัมผัสกับความหลากหลายต่างๆ ของประเทศนี้ 

เส้นทางการเดินทาง คือเร่ิมจากเมือง Casablanca - Rabat - Volubilis - Fes - Midelt - Sahara camp - Todra Gorge - Ait Benhaddou - Aroumd - Essaouira - Marrakech ทั้งหมดเป็นการเดินทางโดยรถ ไม่ว่าจะรถตู้ รถเมล์ และรถไฟแล้วแต่ช่วง ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 15 วัน
align=

เร่ิมต้นเราบินจากเมืองกาฎมัณฑุ เนปาลถึง คาสาบลังก้า วันที่ 29 มกราคม 2012 มีเวลาอยู่ที่เมืองนี้เพียงแค่วันเดียว เมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญเมืองหนึ่งของโมรอคโค เป็นเมืองที่มีชายหาด โรงแรม ห้างสรรพสินค้า เหมือนเมืองใหญ่ทั่วไป แต่สิ่งที่น่าสนใจสำหรับเราคือ Hassan II Mosque เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และใหญ่เป็นอันดับเจ็ดของโลก แต่มัสยิดนี้มี mineret (หอสูงยอดแหลมที่มัสยิด) ที่สูงที่สุดในโลก สูงกว่าที่เมกะอีก มัสยิดนี้ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ถือว่าดีมากในทางศาสนามุสลิม คือตั้งในที่มองออกจากมัสยิดเห็นทะเลแอตแลนติกตั้งแต่ชั้นแรกจนถึงชั้นสูงสุด ประติมากรรม ไม่ต้องพูดถึงว่าจะงามขนาดไหน มัสยิดนี้สามารถจุคนได้ถึง 105,000 คนเลยทีเดียว
align=

align=
align=

align=


align=

align=

align=

align=

align=

align=

อีกอย่างที่น่าสนใจใน คาสาบลังก้า คือ Old Medina หรือเมืองเก่า ที่มีตลาดขายของพื้นเมืองสำหรับคนท้องถิ่นที่ใหญ่มาก และนี่ก็คือที่แรกที่เราได้มีประสบการณ์เรื่องการตื้อของผู้ชายชาวโมรอคโค และถูกมองด้วยสายตาที่ดูถูกเมื่อเรานั่งใน coffee shop ที่ไม่มีผู้หญิงนั่งอยู่เลย อืมมม อีกประสบการณ์ที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ลืม 555 

align=

align=

align=

align=

align=

align=

align=

align=

align=

align=

วันต่อมานั่งรถไฟไป Rabat ซึ่งจะมาเล่าในฉบับต่อไปจาก Rabat จนถึง Marrakech