ทวีปที่เจ็ดของโลก แอนตาร์กติค ตอนที่ 2
Posted on October 19, 2014 14:00


ความทรงจำที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต กับประสบการณ์ที่แอนตาร์กติค ทวีปที่ 7 ของโลก

การเดินทางเริ่มต้นจากที่เมือง Ushuaia ประเทศ Argentina เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นแผ่นดินที่อยู่ใต้สุดของโลกใบนี้ (จริงๆแล้วใต้น้ำแข็งที่แอนตาร์กติคก็คือแผ่นดิน แต่เนื่องจากมันถูกปกคลุมตลอดปีด้วยน้ำแข็ง เลยเรียกแอนตาร์กติคว่าน้ำแข็งไม่ใช่แผ่นดิน) นอกจากนี้ Ushuaia คือเป้าหมายของหลายคนที่ต้องการไปหา last minute deal ของทริปไปแอนตาร์กติค

align=

16 พ.ย. 2555 เลือกพักที่ bed&breakfast ที่เจ้าของใจดีมากๆ มารับถึงสนามบิน 

หลังจากทำให้ร่างกายสดชื่นแล้วก็ออกเดินไปที่ downtown ของ Ushuaia ฟังดูใหญ่โต เดินแป๊บเดียวเท่านั้น เมืองไม่ใหญ่ สวย เป็นเมืองท่องเที่ยวจริงๆ ตอนไปเป็นช่วงรอยต่อระหว่างฤดูหนาวไปฤดูร้อน ก็เห็นหิมะตามยอดเขา อากาศหนาวเย็น แต่แดดจัดจ้าน เลยทำให้บรรยากาศเหมาะกับการเดินมากๆ 

หาข้อมูลจากสองสาม agency ที่เค้ามี last minute deal ก็ได้ทริปที่วันออกเดินทางใกล้ที่สุด และมีจำนวนวันที่จะอยู่ที่แอนตาร์กติคพอสมควร ได้ทริปราคา 3,700USD จากราคาเต็ม 5,700USD ลดราคา 35% ถือว่าเยอะแล้ว ระหว่างรอเรือออกมีเวลา 2 คืนที่จะสำรวจ Ushuaia และเตรียมซื้ออุปกรณ์ให้ความอบอุ่นกับร่างกาย บางอันเช่า บางอันซื้อ

17 พ.ย. 2555 Ushuaia มีอุทยานแห่งชาติที่คุ้มครองพื้นที่แผ่นดินใต้สุด เราไปเดินป่าได้เองไม่ต้องมีไกด์ เค้ามีรถเข้าออกจากในเมืองถึงอุทยานทุกๆ 30 นาที ไปถึงก็จ่ายค่าเข้าอุทยาน แล้วก็ไปเดินตามทางเดินป่าได้ เป็นอุทยานที่สวยมาก อากาศก็ดีสุดๆ รู้สึกได้ถึงความสะอาดของอากาศ

align=

align=

align=

align=

วันที่ 18 พ.ย. 2555 วันนี้ ตอนแรกกะจะไปเดินเขาอีกเส้นที่ยังมีน้ำแข็งปกคลุม แต่เกรงว่าถ้าเดินไม่ดีขาแข้งพลิกแล้วไปแอนตาร์กติคคงไม่สนุกแน่ เลยเลือกที่จะสบายๆ ที่ Ushuaia นั่งมองวิว กินขนม จิบกาแฟ อุ่นๆ เดินเล่นไปเพลินๆ จะดีกว่า ซื้อเสื้อ กางเกง thermal และถุงเท้าสกี ไว้สองชุด เพราะเสื้อตัวนอกกับกางเกงตัวนอกยืมที่ร้านขายทริปนั่นแหละ ไม่สวยออกแนวฟูๆ ใส่แล้วยิ่งดูตัวใหญ่ไปกว่าเดิมอีก 555 แต่ไม่เป็นไร เพราะเราไม่มีโอกาสใส่บ่อยนัก ซื้อไม่คุ้ม อ่ออีกอย่างมาถึงต้องไปให้เค้าสแตมป์ว่าเราได้มาถึงเมืองที่ถือว่าเป็นแผ่นดินใต้สุดของโลกแล้ว ก็ได้ของที่ระลึกบนพาสปอร์ตเราเลย

align=

19 พ.ย. 2555 
วันนี้เป็นวันที่เตรียมพร้อมขึ้นเรือ เพื่อออกเดินทาง โทรบอกที่บ้านว่าจะหายไปเกือบสองอาทิตย์ติดต่อกันไม่ได้นะ ประมาณเที่ยงเราก็กะว่าจะเอากระเป๋าออกมาหาอาหารเที่ยงทานแล้วก็ไปที่จุดนัดหมายเพื่อขึ้นเรือเลย ก็ทำการรำ่ลาเจ้าของบ้าน เจ้าของบ้านบอกว่าเดี๋ยวเค้าไปส่งที่จุดนัดหมาย เราก็ “จะดีเหรอออออ เกรงใจน่ะ” แต่ก็ให้เค้าไปส่ง ออกตัวพอเป็นมารยาทเท่านั้น 555 พอไปถึงก็เห็นคนที่เราเดินผ่านตอนเดินในตลาด Ushuaia ทั้งสองวันที่ผ่านมา อยู่ที่นี่หมดเลย แสดงว่าคนที่เราเห็นทั้งหมดนั้น ส่วนใหญ่มาเพื่อการณ์นี้เหมือนเรา 

พอได้เวลานัดเราก็ย้อนกลับไปที่จุดนัดหมาย ทางเจ้าหน้าที่ก็ต้อนพวกเราขึ้นรถหลังจากตรวจเอกสารการจอง ต้องขึ้นรถไปเทียบท่าที่เรือจอดอยู่ 

ขึ้นเรือไปเค้าก็จะบอกเบอร์ห้องพักเรา อยู่ชั้นไหน ห้องเบอร์อะไร แต่ไม่มีกุญแจ เพราะกฎความปลอดภัยบนเรือ ไม่มีการล็อคกุญแจห้อง ใครเปิดเข้าออกได้ตลอดเวลา ถ้าจะล็อคได้จากด้านในเวลามีคนอยู่เท่านั้น 

ห้องที่เราพักเป็นห้อง 3 เตียง เราได้เตียงชั้นบน อยู่คนเดียว แต่ก็สบายดี เป็นส่วนตัวอีกต่างหาก เพราะข้างล่างเค้ามีกันสองคน แต่ต้องระวังเวลาเรือโคลง ต้องมีสติให้ดี เจ้าหน้าที่เค้าจะให้หมอนมาล็อคอีกด้านไว้ ถ้าเค้ารู้ว่าผ่านตรงนี้เรือจะโคลงมาก มันก็จะช่วยให้เราไม่ถึงกับกลิ้งตกลงมา ห้องน้ำก็เล็กแหละ แต่ก็อาบน้ำได้ ขนาดคล้ายๆห้องน้ำในรถไฟชั้น 1 อาจจะกว้างกว่านิดหน่อย 

align=

align=

ขึ้นเรือไปเวลาประมาณบ่ายสามน่าจะได้ ตามเวลาต้องออกตั้งแต่หกโมงเย็น แต่ได้รับข่าวสารว่ามีกลุ่มชาวจีน 8 คน เค้าบินมาจากเมืองจีนถึง Buenos Aires เมืองหลวงอาร์เจนตินาแล้ว แต่เที่ยวบินจากเมืองหลวงมา Ushuaia ล่าช้า และยังไม่มีกำหนดออก อ้าว ทำไงล่ะเนี่ย ตามกฎเค้าจะไม่รอ กลุ่มนี้เค้าตัดสินใจเช่าเหมาลำเครื่องบินจาก Buenos Aires มาเลย แล้วถามว่าถ้าเค้าลงทุนขนาดนี้จะยอมออกเรือไม่รอเค้าเหรอ เป็นไงล่ะ ทางกัปตันหลังจากเช็คสภาพอากาศและก็พบว่าถ้าออกช้า แต่อากาศเช่นนี้น่าจะเร่งได้ เค้าเลยตัดสินใจรอ 

ระหว่างรอพวกเราก็ขึ้นไปดาดฟ้า ชมเมืองบ้าง และก็ได้เวลารวมกันที่ห้องรวม เพื่อฟังบรรยายเรื่องความปลอดภัยและการปฏิบัติตนบนเรือทั้งภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน เสร็จเรียบร้อยก็แยกย้าย 

align=

อันนี้ซ้อมการเข้าเรือเล็ก เพื่อทิ้งเรือใหญ่กรณีฉุกเฉิน หน้าระรื่นไปนิด ไม่เหมาะกับการจำลองเหตุการณ์จริงๆ 555

ใครใคร่ชมวิวก็ชม ใครใคร่อ่านหนังสือก็อ่าน ใครใคร่ดื่มก็ดื่ม เพราะอาหารเย็นจะเสริฟเวลาทุ่มครึ่ง ทานอาหารเย็นมื้อแรกบนเรือที่ยังไม่ออกจากท่า อาหารอร่อยทุกอย่าง แม้จะไม่ใช่ระดับห้าดาว แต่ก็ดีมากระดับหนึ่ง มีเครื่องดื่มขนมทานเล่นให้ทานตลอด ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม ยกเว้นจะดื่มเครื่องดื่มอัลกอฮอล์ หรือพวกน้ำอัดลม ทริปนี้ของเราเป็นทริปสุดท้ายของปีนี้แล้ว ก็รู้ว่าเงินมีเหลือ เลยเต็มที่เลยค่าาาา 555 

align=

align=

align=

align=

ตัวอย่างอาหารบนเรือ

align=

Cocktail ก็ต้องลองกันบ้างไรบ้าง


ทีมงานครัว บาร์ เป็นชาวฟิลิปปินส์เกือบทั้งหมด ไม่เห็นในห้องเครื่อง แต่ถ้าให้เดาน่าจะฟิลิปปินส์เช่นกัน 

ประมาณสี่ทุ่มทางกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนก็มาถึง เรือก็ออก เย้ ได้ไปซะที

การเดินทางไปแอนตาร์กติคต้องผ่านที่เค้าเรียกทะเลเปิด ที่ไม่มีแผ่นดินด้านซ้ายขวาเลย คือเปิดจริงๆ แปลว่าน้ำล้วนๆ ที่เราต้องผ่านเรียก Drake Passage ที่เค้าบอกว่าขนาดเวลาที่สงบๆ เราคนที่ไม่ใช่คนเรือก็หวั่นไหวได้ อันนี้จริงปกติก็เป็นคนเมาอะไรง่ายอยู่แล้ว ผ่าน Drake Passage ที่สงบๆ ก็ยังเมา ต้องนอนแนวราบบนเตียงตลอด ดีว่าคืนแรกเรือออกตอนเวลานอนพอดี เราก็นอนเลยไม่ต้องโงหัวขึ้นมา มิเช่นนั้นจะหาว่าไม่เตือน หลับสนิทมาก 

เส้นทางเดินทางตามนี้เรย

align=

20 พ.ย. 2555
ประสบการณ์วันนี้คือการจัดการตัวเองเพื่อให้สามารถผ่านพ้น Drake Passage ไปให้ได้ ในขณะที่คนอื่นๆ ที่ไม่มีอาการเมาน้อย หรือไม่เมาเลย ก็ฟังบรรยายความรู้เรื่องต่างๆ ลูกเรือที่ดูแลเราจะมีคนที่เชี่ยวชาญเรื่องนก เรื่องธรณีวิทยา น้ำแข็ง เรื่องสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เรื่องสัตว์ทะเลอื่นๆ การถ่ายรูป คอยสลับสับเปลี่ยนมาบรรยาย เพื่อให้ความรู้และเพื่อไม่ให้คนที่เค้ายังนั่งแนวตั้งได้จะได้ไม่เบื่อ ส่วนเรา ไม่ต้องได้ฟังกัน วันนี้นอกจากงดมื้อเที่ยงแล้ว ยังงดมื้อเย็นด้วย นอนอย่างเดียวเลย

align=

align=

จังหวะผ่าน Drake Passage ที่ยังพอโงหัวขึ้นมาถ่ายรูปไว้ได้ มากกว่านี้ต้องทิ้งทุกอย่างแล้วก็เกาะเตียงไว้ให้จงมั่น 

21 พ.ย. 2555
วันนี้ยังคงไม่ผ่าน Drake Passage แต่เร่ิมปรับตัวได้เล็กน้อย เช้าทุกคนต้องฟังการบรรยายเรื่องกฎระเบียบของการท่องเที่ยวในแอนตาร์กติคว่าเราทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ เป็นต้นว่าระยะห่างจากสัตว์เท่าไหร่ เดินบนน้ำแข็งต้องเดินตามทางที่เข้าเดินสำรวจและปักธงให้เดินเท่านั้น เพราะเราไม่รู้ว่าข้างล่างที่ยังไม่สำรวจเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเป็นหลุมล่ะก็ จะแย่เอา และบรรยายเรื่องการลงเรือยางจากเรือใหญ่ต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ฟิตติ้งขนาดบู๊ท และอุปกรณ์ความปลอดภัยทั้งหมด เพื่อเก็บเป็นเซ็ทของตัวเอง ตลอดการเดินทาง 

ช่วงบ่ายนี้ทางกัปตันคาดว่าเรือจะเทียบท่าได้ครั้งแรกที่แอนตาร์กติคให้เราได้เดินบนแอนตาร์กติคครั้งแรกบ่ายนี้ ตื่นเต้น ตื่นเต้น

หลังเที่ยง ระหว่างที่กัปตันนำเรือเข้าไปที่เกาะ South Shetland โดยผ่าน English Strait หรือช่องแคบ English (ชื่อเค้าอย่างงั้น แต่ไม่ได้อยู่ที่อังกฤษแต่อย่างใด) เป็นช่องแคบระหว่าง เกาะ Robert และ เกาะ Greenwich นั้น จู่ๆลมก็พัดแรงขึ้น กัปตันและลูกเรือก็ทำงานหนักเพื่อให้ผ่านตรงนี้ไปให้ได้ สถานการณ์ที่ทะเลมีทั้งน้ำแข็ง ทะเลช่วงตื้นขึ้น และยังจะกระแสน้ำที่แรงมาก ถึงจังหวะนี้เราต้องไปนอนราบอีกเช่นเคย ม่ายหว่ายยยย มาววววววมากกกกกก

ส่วนคนที่ยังคงทำตัวแนวตั้งได้ เค้าก็ได้เห็นนก Southern Giant Petrels และ Pintado Petrels บินไปมารอบเรือ และเห็นบอกว่าได้เห็นนก Antarctic Petrel สีน้ำตาลขาวด้วย เค้าเอารูปมาให้ดูทีหลัง ถึงรู้ 

กัปตันนำเรือล่องไปจนถึงเกาะ Aitcho ที่ๆตั้งใจว่าจะเทียบเรือ แต่ด้วยความที่ลมแรงมาก อันนี้แบบแรงยิ่งกว่าตอนผ่าน Drake Passage เสียอีก ทำให้ไม่สามารถเทียบได้ กัปต้นตัดสินใจออกเดินเรือต่อไปมุ่งหน้าสู่ Bransfield Strait และความแปรปรวนยิ่งทวีขึ้นไปอีก เพราะคราวนี้ทั้งลมและคลื่นมาพร้อมกัน โอ้โห ทั้งหมดนี้มาอ่านเพื่อให้รู้ว่าวันนี้ไปไหนบ้าง เพราะระหว่างวันนั้นคงไม่ต้องถามว่าอยู่ไหน ลมแรง คลื่นสูงมาก นอนอยู่นึกว่ามีคนมาไกวชิงช้าแบบที่เรารู้สึกว่าจะตกจากชิงช้าแล้ววววววว 

ค่ำนี้มีบรรยายเทคนิคการถ่ายภาพที่แอนตาร์กติค โดยนักถ่ายภาพมืออาชีพ Paul Teolis ชาวแคนาดา ไม่ได้ฟังเช่นเคย 

22 พ.ย. 2555
เช้ามาก็พบว่าเรือได้ทอดสมอแถวเกาะ Danco แล้ว อากาศดีมาก ไม่เห็นร่องรอยของความแปรปรวนของอากาศเลย ทิวทัศน์ของแอนตาร์กติคเวลาคลื่นลมสงบ มันช่างเหมือนบรรยากาศในฝันจริงๆ ขาว ฟ้า มีแค่สองสีเท่านั้น นั่งมองไปถึงความขาวไปล้อมรอบตัวเรา มันเป็นอะไรที่บรรยายไม่ถูกจริงๆ 

align=

align=

Danco island เป็นเกาะที่มีความยาวประมาณ 1 ไมล์ ที่ทอดไปตามช่อง Errera นี่จะเป็นวันแรกที่เราจะได้พบกับสิ่งที่รอคอย “นกเพนกวิน” 

นั่งเรือยางถึงเกาะ ก็ได้พบกับฝูงนกเพนกวินพันธ์ุเจนทู Gentoo จำนวนมากมาย ความรู้สึก ตื้นตัน จังงัง ดีใจ ปลื้มใจ กับความสวยงามของธรรมชาติ ของเพนกวินที่เดินบนน้ำแข็ง กระโดดลงน้ำ ขึ้นจากน้ำ เดินเก็บหินไปวางเพื่อสร้างรัง คุยกัน แบบที่เค้าไม่รู้สึกว่าถูกรบกวน เราก็รักษาระยะห่างไว้ บางคนถ่ายรูปไปหลายร้อยรูปในระยะเวลาเพียงไม่กี่นาที เราก็เช่นกัน เมื่อถ่ายหนำใจแล้ว ก็ได้นั่งลงดื่มด่ำกับภาพที่อยู่ตรงหน้า คล้ายกับจะพิมพ์มันลงไปในสมองส่วนที่เก็บความจำที่ป้องกันด้วย firewall อย่างดีที่ภาพนี้จะไม่มีวันเลือนหายไปจากความทรงจำของเรา 

align=

align=

align=

align=

align=

align=

หลังจากนั้นเรือก็แล่นต่อไปเพื่อให้ถึงที่ที่เราจะเทียบอีกที่ ระหว่างทางผ่านฐานการวิจัยของ Argentina ที่ชื่อ Almirate Brown station ที่นี่มีคนมาที่ฐานเพื่อทำงานเพียงแค่สองเดือนต่อปีเท่านั้นในช่วงหน้าร้อน และที่นี่เราจะถึอว่าเป็นการมาถึงแอนตาร์กติคจริงๆ เพราะเป็นแผ่นดิน หรือแผ่นน้ำแข็งของทวีปนี้ที่เราจะได้วางเท้าลงไป 

เนื่องด้วยลมที่เริ่มแรงขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่ทะเลสงบ ทีมงานไม่แน่ใจเรื่องความปลอดภัยว่าจะเกิดอะไรขึ้น แผนการกางเต้นท์นอนแค้มป์บนแอนตาร์กติคคืนนี้ถูกยกเลิกไป แล้วค่อยไปหาที่เหมาะๆกันใหม่ 

ตกเย็นหลังอาหารเย็น ทุกคนก็ได้มีโอกาสแบ่งปันประสบกาณ์ที่แต่ละคนได้รับวันนี้ ทำให้เราได้รู้จักคนที่ร่วมทริปบนเรือลำนี้ประมาณหนึ่งร้อยคนนั้น ประกอบไปด้วยคนจากทั้งชาติตะวันตก ตะวันออกมารวมกันมากมายหลายเชื้อชาติ แม้ว่าจะไม่ได้รู้จักกันหมด แต่มันก็ทำให้เราได้รู้จักว่าแต่ละคนมาที่นี่ด้วยวัตถุประสงค์เดียวกัน คือประสบการณ์ที่น่าทึ่งของทวีปนี้ มีครอบครัวมากับลูกอายุเพียง 8-10ขวบ มีชายสาวโสดที่เปิดรับประสบการณ์ทุกอย่าง รวมถึงเรื่องคู่นอนชั่วคราวหรือถาวร บางคนที่มาเพื่อต้องการรูปถ่ายที่หลายคนคงไม่ได้มีโอกาสจะได้มาถ่าย บางคนที่มาเพื่อความฝันอยากจะได้มาทวีปที่ 7 นี้ บางคนมาเพื่อฮันนีมูน บางคนมาเพื่อนำประสบการณ์ไปเขียนคอลัมน์ ไม่ว่าจะมาด้วยเหตุผลใดๆ ทุกคนก็ได้ประสบการณ์ที่มีความเฉพาะของแต่ละคนกลับไปแน่นอน 

23 พ.ย. 2555 ขอจบการเล่าประสบการณ์เพียงเท่านี้ก่อน รอติดตามตอนต่อไป นี่!!! เป็นไงล่ะ สำนวนเริ่มเหมือนละครน้ำเน่าล่ะ 555 ตอนหน้าจะมีทั้ง เพนกวินชนิดอื่น นกหลายชนิด ปลาวาฬ และแมวน้ำหลายชนิด 

#thaitraveltheworld