Denmark - Norway - Sweden - Finland - Iceland ตอนที่ 4
Posted on March 10, 2014 06:47


วันที่ 26 เมษายน 

เช้าวันนี้ตื่นมาก็มองเห็น Helsinki จากบนเรือตอนกำลังจะวิ่งเข้าใกล้เมืองแล้ว หนาวดีจริงๆ เรย 


เรือ Viking คือ ferry ที่เรานั่งมา ลำนี้เรย ใหญ่มว๊าาาากกกก

align=


ห้องพักบนเรือ ferry

align=


align=


align=


align=


มาถึงก็เดินจากท่าที่ดูมองมาอีกด้านที่จะเป็นที่พักเรา อืม ไม่ไกล แต่พอเดินจริงๆ ไกลซะงั้น แต่ไม่เป็นไร ก็ถือว่าเดินชมเมืองไปพลางๆ ระหว่างนั้น รู้ตัวแล้วว่า ไม่สบาย การเดินชมเมืองก็เอาแบบรีบๆเดินหน่อยก็ละกาานนนน 


อันนี้จะบอกตัวเองเสมอว่า อย่างกจนเกินไป เมื่อไม่สบายพักเสียก่อน รู้สึกสบายแล้ว ค่อยออกเดินทางต่อ การพักหนึ่งวัน ดีกว่าการเดินทางแบบป่วยๆไปอีกหลายวัน ไม่สนุกเปล่าๆ 


วันนี้พอถึงที่พักแบบเต็มที่ เดินออกมานอกห้องพัก ก็ตอนต้องการซื้อเครื่องดื่มกับของกินเล็กๆน้อยๆ เท่านั้น ไม่ไกลจากที่พัก ก็แถวๆ สแควร์นั่นแหละ แล้วก็นอนซะเป็นส่วนใหญ่ 


วันที่ 27 เมษายน 


ตื่นเช้ามารู้สึกดีมาก มีแรงอีกครั้ง พร้อมสำรวจเต็มที่อีกครั้งหนึ่ง ออกมาเดินแต่เช้าเรย ก็ไม่ใช่ว่าเช้ามาก เพราะเช้าเกินไปจะไม่มีอะไร 


เฮลซิงกิ เมืองหลวงของฟินแลนด์ ประเทศนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดนตั้งแต่โน่นเรย ศตวรรษที่ 12 จนกระทั่งต้นศตวรรษที่ 19 หลังจากนั้นก็อยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิรัสเซีย จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติในรัสเซีย จึงได้ประกาศตนเป็นประเทศอิสระ หลังจากนั้นก็ผ่านศึกสงครามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นสงครามกลางเมือง สงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามต่อต้านรัสเซีย สงครามต่อต้านเยอรมัน นาซี กว่าจะสงบโน่น ปาเข้าไปปี 1955 (ไม่นานมานี้เองนะ) เข้าร่วมกับ UN เข้าเป็นสมาชิก EU ปี 1995 และถือเป็น eurozone ปี 1999 ดูซิทุกอย่างเกิดขึ้นสำหรับประเทศนี้ เร็วๆนี้ทั้งนั้น แต่เทียบกับการพัฒนาของเค้า ถือว่าเร็วมากๆ ประเทศฟินแลนด์ถือว่าเป็นประเทศระดับต้นๆ ของโลกในเรื่องการพัฒนาการศึกษา การแข่งขันทางเศรษฐกิจ สิทธิเสรีภาพของประชาชน คุณภาพชีวิตและการพัฒนาบุคลากร (เทียบกับบ้านเรา อย่างไกลโข บ้านเราเนี่ยไกลโข) 


เอาล่ะ เมื่อพอทราบที่มาที่ไปของประเทศนี้ก็ทำให้เราได้เข้าใจว่า ประเทศนี้เมืองนี้ ก็จะมีส่วนคล้ายสวีเดนและรัสเซีย ผสมผสานกันจะเป็นแบบฉบับ ฟินนิช ของเค้าเองนี่แหละ 


เฮลซิงกิ เป็นเมืองหลวงที่ได้รับรางวัล World Design Capital ของปี 2012 คือปีที่เราไปพอดีเรย มาดูกันเลยดีกว่าว่าเค้ามีดีอะไรบ้าง


Kauppatori Market Square

align=


align=


align=


align=


align=


align=


align=


สาระพัดเบอรรี่ อร่อยทุกสิ่ง 

align=


align=


อาหารเที่ยง

align=


ที่นี่ขายของกินทุกอย่าง ปลาเป็นอาหารหลักของคนฟินนิชอยู่แล้ว

align=


Helsinki Cathedral โบสถ์เฮลซิงกิ

align=


align=


Uspenski Orthodox cathedral โบสถ์ออโธด๊อกซ์ Uspenski

align=


Alexsanterinkatu ในย่านศูนย์กลางของเฮลซิงกิ

align=


Central Railway Station สถานีรถไฟกลาง

align=


สนามโอลิมปิคเฮลซิงกิ ที่เป็นสนามแข่งกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อนเมื่อปี 1952 นานมาแล้ว แต่เค้ายังดูแลสภาพและใช้งานกีฬาอยู่เลย

align=


South Harbour ท่าเรือด้านใต้ของเฮลซิงกิที่สวยงาม

align=


align=


โรงละครแห่งชาติของเฮลซิงกิ

align=


พิพิธภัณฑ์ Kiasma แสดงศิลปะร่วมสมัย Contemporary Art

align=


Design Museum พิพิธภัณฑ์การออกแบบ

align=


เรือข้ามจากตัวเมืองไป Suomenlinna ออกทุกๆ 30 นาที

align=


Suomenlinna คือป้อมปราการที่สร้างเมื่อปี 1918 (คำแปลจริงๆ ตามภาษาฟินนิชคือ Castle of Finland) ก่อนจะมาเป็น Suomenlinna เดิมชื่อ Sveaborg ในภาษาสวิดิช และ Viapori ในภาษาฟินนิช ทั้งสองคำแปลว่า Fortress of Svea หรือป้อมปราการของ Svea แค่ชื่อก็แย่แล้ว เอาเป็นว่าป้อมปราการนี้มีประวัติมาเกือบร้อยปีแล้ว และที่นี่ได้ถือเป็นอีกหนึ่งมรดกโลก ใครมาเฮลซิงกิควรมาชม ส่วนคนฟินนิชเองก็ชอบจะมาปิคนิคที่นี่ตอนหน้าร้อน เพราะบรรยากาศดี

align=


align=


align=


align=


align=


align=


align=


align=


นอกจากชมเมืองหลวงที่ถือว่ามีภูมิทัศน์ที่สวยงามระดับ World Design Capital แล้ว มาที่นี่ยังได้ความประทับใจอื่นๆ อีก นั่นคือได้ไปเจอคนไทยโดยบังเอิญ ถึงสี่คน ซึ่งมาต่างกรรมต่างวาระ แต่เค้าก็โคจรมาเจอกันที่นี่ เกิดเป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจเกิดขึ้น 

หนึ่งคนแต่งงานกับชาวฟินแลนด์และทำมาหากินด้วยการทำอาหารจานเดียว เป็นแบบ kiosk หรือขายบนรถแบบนี้ ขายดิบขายดีและทำได้ตอนหน้าร้อนเท่านั้น ขายแบบมือเป็นระวิงเลย ช่วงแกผัดๆ ไปยังไม่มีลูกค้าเราก็ได้มีโอกาสคุยกัน ชีวิตไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็มีทั้งสุขและทุกข์ผสมกัน และที่สำคัญคนเราเกิดมาต้องทำงาน พี่แกก็ผู้หญิงทำงานอีกคน เห็นบอกว่ามีร้านสองที่ ที่นี่แกดูแล ส่วนอีกที่สามีดู และคอยส่งของเมื่อขาด 

align=


ส่วนอีกคนก็แต่งงานกับชาวฟินแลนด์เช่นกัน เพิ่งมาได้ไม่นานกำลังเรียนภาษาฟินแลนด์ เวลาว่างมาช่วยพี่คนข้างบนขายของได้รายได้พิเศษ (คนซ้ายใส่หมวกในเต้นท์ขายของ)

align=


อาหารเค้าขายเป็นจานแบบนี้ ราคาเมื่อเทียบกับแถบสแกนดิเนเวีย ถูกกว่ามากเลย แถมร้อนๆอีกต่างหาก อาหารเรียกว่า Fried vendace ปลาทอด กินกับข้าวผัดด้วยกัน หรือมันฝรั่ง หรือหอมทอด อร่อยดีนะ

align=


ส่วนอีกคนพี่โทนี่ก็แต่งงานกับผู้หญิงชาวฟินแลนด์ ตอนอยู่เมืองไทยเป็นตำรวจ มาอยู่นานแล้วประกอบอาชีพเป็นครูสอนภาษาฟินแลนด์ให้กับคนไทย ก็เป็นครูสอนคนที่มาช่วยขายของคนตะกี้ พอดีพี่แกมาเดินเล่นและแวะมาที่ร้านนี้พอดี เลยได้คุยกันนานเลย


ประมาณเดินมาจอดที่ market square ที่ร้านคนไทยนี่แล้ว ก็ได้เจอทีเดียวสามคนเลย 


พอเดินเล่นไปตาม market square ก็เจอพี่คนไทยอีกคน เป็นคนไทยวัยกลางคนมาเที่ยว Helsinki โดยการนั่งเรือ ferry มาจาก Tallinn ประเทศ Estonia คุยกันแกบอกมาเที่ยว มาค่อนข้างบ่อย พี่แกอาศัยอยู่ที่ Tallinn มีอาชีพเป็นหมอนวดแผนโบราณ (หมอนวดจริงๆ อย่าคิดเป็นอย่างอื่น) แกชอบตรงที่เป็นหมอนวดแบบมีอิสระ ลูกค้าจะมานวดกับแกต้องนัด ค่านวดแบบไม่ต้องทำหามรุ่งหามค่ำมีพอใช้ เหลือเก็บ แกกะจะทำไปจนแกทำไม่ไหว แล้วกลับไปใช้เงินเก็บแบบสบายๆ ที่บ้านเรา 


วันนี้กลับมานอนที่ hostel ก็ได้มีเวลานึกทบทวนว่า การมาเฮลซิงกิครั้งนี้คงไม่น่าประทับใจเท่าที่ควร ถ้าหากไม่ได้เจอกับคนไทย 4 คนที่นี่โดยบังเอิญ และได้มีโอกาสพูดคุยกัน ไม่ได้คุยกันนานนักหรอก เพราะเราหลังจากเติมท้อง นั่งคุยซักพัก ก็นั่งเรือไปสำรวจ Suomenlinna ต่อ 


วันที่ 28 เมษายน วันนี้เหลือเวลานั่งสบายๆ ชมวิว Harbour ของเมือง Helsinki กินขนม ชมวิว คุยกับพี่ๆและน้องคนไทยที่ market square จนได้เวลาเรือออกช่วงบ่ายๆ เพื่อกลับไป Stockholm พี่โทนี่คนเดิมที่เล่าไปแล้ว อุตส่าห์เดินมาส่งถึงท่าเรือ รอจนเราขึ้นเรือไป รู้สึกขอบคุณความมีน้ำใจของพี่แกมากๆ ถ้าพี่ได้เข้ามาอ่าน ขอบคุณพี่มากนะคะ ทำให้การไปกรุงเฮลซิงกิของปุ้มครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่จะไม่ลืมเลยค่ะ 


คืนนี้ก็นอนบนเรือ กลับไป Stockholm


วันที่ 29 เมษายน เรือมาถึง Stockholm ตอนเช้า ตื่นมาก็ได้ชมวิวตอนช่วงเริ่มมองเห็นตัวเมือง มองจากระยะไกล สมกับเป็นเมืองหลวงที่สวยที่สุดเมืองหนึ่งของโลกจริงๆ 


พอเทียบท่า ไอ๊ย่ะ เดินไกลแท้ๆ นะเนี่ย 555 ประเทศแถบนี้ไม่รู้ทำไม ตอนมองดูไม่ไกล ตอนเดิน ไกลจริงไกลจัง ดีนะว่าอากาศไม่ร้อนเหมือนบ้านเรา ไม่งั้นได้มีหอบลิ้นห้อยเรยดีเดียว บวกกับทิวทัศน์ระหว่างทางสวยอ่ะ อ่านะ เดินไปเพลินๆ แล้วเมื่อตอนเดินผ่านหน้าพระราชวัง ก็มองไปด้านตรงข้าม เห็นที่พักของเราอยู่ตรงหน้า ว๊าวว๊าวว๊าว เรือลำนั้นนั่นเอง Chapman hostel ที่นี่เค้านิยมเอาเรือโบราณมาทำเป็นที่พักให้นักท่องเที่ยวแบบเราๆนี่แหละนอน ก็เหมือนกับการนอนในห้องนอนในเรือ ราคาแตกต่างกัน ห้องนอนกัปตัน ต้นเรือ ต้นหน ก็แพงหน่อย ห้องนอนแบบลูกเรือ นอนรวมกัน (ก็เหมือน hostel)​ ก็ถูกลงมาหน่อย Chapman ถือว่าเป็นออริจินัล ของไอเดียนี้ และเมื่อไปถึงคุณภาพก็ดีจริงๆ ด้วย สะอาด เรียบร้อย เล็กกระทัดรัด ก็ขนาดห้องในเรือนั่นแหละ ใครไป Stockholm แนะนำที่สุด 

align=


ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายของเส้นทาง Scandinavia จะมาเล่าต่อประสบการณ์ใน Stockholm และ Iceland ค่ะ