Chile-Argentina-Brazil ตอนที่ 1
Posted on November 30, 2014 20:38


ทริปนี้เริ่มจากการบินจาก Costa Rica อเมริกากลางไปที่อเมริกาใต้ที่เมือง Santiago ประเทศชิลี และจบที่ Buenos Aires ก่อนบินไป Lima เพื่อเริ่มทริปในประเทศเปรู 

 

การเดินทางในบราซิล ทริปนี้จะมีแค่เมือง Parana ที่น้ำตก Iguazu ด้านประเทศบราซิลเท่านั้น เนื่องจากเคยไปประเทศบราซิลมาก่อนแล้ว แต่เมื่อเล่าไปถึงน้ำตก Iguazu จะแนะนำสถานที่ในประเทศบราซิลที่ควรไปหลังจากน้ำตกเพื่อเป็นไอเดียสำหรับคนที่มีเวลาและอยากสำรวจบราซิลเพิ่มเติมในทริปของตัวเองค่ะ 

 

เส้นทางก็เป็นตามนี้ค่ะ 

align=

Santiago-Valparaiso-Vina del Mar-Santiago-Mendoza-Pucon-Bariloche-Buenos Aires-Misiones (Iguazu Falls)-Parana (Iguazu Falls ฝั่งบราซิล)-Buenos Aires

 

10 ต.ค. 55 

 

เช้าวันนี้ก็เดินทางมาถึง Santiago ห้องพักที่จองไว้เป็นคอนโดให้เช่าทั้งหลัง ราคาถูกกว่าโรงแรม แต่แพงกว่า hostelนิดหน่อย ในเมือง Santiago เนื่องจากนอนป่ามาหลายวัน ขอนอนสบายๆ หน่อยนะ

 

เมื่อไปถึงก็เดินชมบริเวณใกล้ ๆ และลองนั่งรถประจำทาง ทั้งใต้ดิน รถเมล์ เพื่อให้คุ้นเคย คืนนี้นอนเร็วเพราะเหนื่อย 

 

11 ต.ค. 55 

 

ตื่นมา พลังงานเต็มที่ พร้อมลุย ที่ Santiago เป็นเมืองที่ด้านหนึ่งติดเทือกเขา Andes ที่เรามองเห็นจากในเมืองนี้เลยและอีกด้านก็ติดมหาสมุทรแปซิฟิค 

 

ภาพยอดเขา Andes ที่มองเห็นจากตึกห้างสรรพสินค้าใน Santiago (เสียดายที่ไม่ได้ขึ้นไป skyline ที่ทำให้มองลงมาเห็นเมืองทั้งเมือง และด้านหลังเป็นภูเขา Andes ใครไปแนะนำว่าไม่ควรพลาด) 

align=

 

เนื่องด้วยประเทศชิลีเป็นประเทศที่อยู่ในแนวเปลือกโลกเคลื่อนที่ และมีภูเขาไฟที่ยัง active อยู่มาก เมื่อศตวรรษที่ 19 เมือง Santiago นี่ถูกทำลายไปสองครั้งใหญ่ๆ จากแผ่นดินไหว ดังนั้นสถาปัตยกรรมในเมืองนี้ เกือบทั้งหมดเป็นสิ่งก่อนสร้างในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ว่าไปก็ร้อยกว่าปี และมาบูมหนักๆ ก็กลางศตวรรษที่ 20 ดังนั้นเวลาไป Santiago เราจะรู้สึกว่าเค้าเป็นเมืองใหม่มากๆ 

align=


align=

 

Chilean National Museum of Fine Arts

 align=


Mercado Central หรือ Central market ที่ควรไปเดินอย่างมาก ขายอาหารสด และมีร้านอาหารให้นั่งด้านในด้วย

align=

 

วิถีแบบนี้ยังมีให้เห็นในเมืองใหญ่

align= 


Palacio de La Moneda หรือ simply La Moneda ก็เหมือนทำเนียบรัฐบาลบ้านเรา

align=


align=


align=


12 ต.ค. 55

วันนี้ไปสำรวจอีกเมืองไม่ไกลจาก Santiago ที่ชื่อว่า Valparaiso เมืองนี้เป็นท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งของชิลี ที่สำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวต้องมากันคือลักษณะทางภูมิประเทศที่สวยงาม คือเป็นเนินเขาทอดลงทะเล และสถาปัตยกรรมและวิถีการใช้ชีวิตแบบสมัยเก่ายังมีให้เห็น 

align=


align=


align=


align=

 

align=


align=


align=


ที่นี่ยังเก็บการเดินทางแบบเดิมไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ลอง คือกระเช้าที่รับส่งคนขึ้นลงจากเชิงเขาขึ้นบนเนินเขา ได้ลองแล้วขอบอกว่าเสียวไส้ว่ามันจะขาดหลุดลงมาป่าวน้าาาา เพราะเก่าจริงไรจริง

align=


align=


align=

 

ระหว่างทางผ่าน Vina Del Mar ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของชีลี เมืองนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของนคร Valparaiso และเมืองนี้เป็นที่ตั้งของ casino ที่ใหญ่มาก แม้ไม่ได้เข้าไปข้างใน แต่มีรถสปอร์ตหรูราคาแพงมั่กๆ จอดเต็มไปหมดเบยยยย 

align=


align=


landmark สำคัญของที่นี่ก็นาฬิกาดอกไม้เค้าเลย

align=


 ริมทะเลที่นี่ได้รับการพัฒนาเป็นโรงแรม คาสิโน ร้านอาหารชั้นนำมากมาย

align= 


13 ต.ค. 55

 

วันนี้เดินทางไปเมือง Mendoza นี่จะเป็นการนั่งรถข้ามชายแดน รถ coach ที่นี่ก็คล้ายกับรถทัวร์บ้านเรานี่แหละ แต่ของเค้าพิเศษสุดๆ คือแบบเบาะนอน นอนจริงๆ คือนอนไปทั้งตัวได้เลย สบายมากๆ 

align=


ถ้าหากเป็นช่วงหน้าหนาว ที่หิมะยังปกคลุมอยู่เยอะ แนะนำให้เลือกตั๋วกลางคืน เพราะพอตอนเช้า เราจะไปถึงแถวชายแดนระหว่างประเทศชิลี และอาร์เจนติน่า ตรงนั้นทิวทัศน์สวยมาก หิมะขาวไปทั้งหมด แต่ตอนมายืนทำพิธีการเพื่อผ่านชายแดนคงหนาวจับใจ เพราะมีบางช่วงที่เราต้องยืนอยู่ข้างนอกอาคาร 


Immigration ที่ชายแดนชิลี-อาร์เจนตินา

align=

 

ที่ที่เป็น hilight ของการเดินทางด้วยรถจาก Santiago ไป Mendoza ก็คือทิวทัศน์ที่ว่านี่แหละ โค้งภูเขา Andes 365 โค้งที่สวยงาม แต่ช่วงที่เราไปเป็นช่วงที่หิมะละลายแล้ว ฤดูหนาวหมดและกำลังเข้าฤดูร้อน ต้นไม้ยังไม่เขียว ภูมิทัศน์ก็จะเป็นแบบนี้ สวยไปอีกแบบ

align=


align=


align=


align=


align=


อ่างเก็บน้ำ Potrerillos reservoir

align=


ผ่านเข้าสู่ชุมชน ก็เขียวขึ้นมาหน่อย

align=


วันที่ 12 ตุลาคมของทุกปี คือวันฉลองความหลากหลาย หรือ diversidad cultural หรือ Celebrating Argentina's Diversity วันนี้เมื่อปี 1492 Christopher Columbus ได้สำรวจมาถึงดินแดนแห่งนี้ และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ดินแดนแห่งนี้ก็มีหลากหลายเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นชาวเผ่าอินดี้ (indigenous) ชาวสเปน ชาวอิตาลี และสุดท้ายที่นี่ถูกเรียกว่า melting pot หรือหม้อที่ต้มรวมทั้งหมดหล่อหลอมออกมาเป็นชาวอาร์เจนติน่าทุกวันนี้ และงานก็มียาวมาถึงวันที่ 13 ด้วย คืนนี้เราเลยไปดูซะหน่อยว่าเป็นเช่นไร ก็มีการเต้นรำ อาหารท้องถิ่นขาย เครื่องดื่ม และของขาย คล้ายๆ งานวัดเล็กๆ บ้านเราเรย แต่ดูทุกคนชื่นมื่น สนุกสนานมาก อากาศเย็นๆ ดื่มไวน์ เบียร์ ไปพร้อมกับการกิน Paella ร้อนๆ และอาหารพื้นบ้านอื่นๆ แจ่มอ่ะ ถ่ายรูปบนมือถือ แต่เบลอทั้งหมด เลยไม่ลงรูปก็แล้วกัน

 

เริ่มดึก คนเริ่มเมามากขึ้น เราก็ได้เวลาเดินกลับ ดึกมากเกินไป เดินคนเดียว ก็เสียวๆ แม้ว่าคนท้องถิ่นที่นี่จะเป็นมิตรมากๆ แต่ก็ไม่ควรประมาท รีบเดินถึงบ้าน ก็สบายใจไป 

 

14 ต.ค. 55 

 

มาถึงเมือง Mendoza ที่ห้องพักที่เลือกคือ ห้องที่เจ้าของบ้านแบ่งให้เช่าเป็นคืน เลือกที่จะพักแบบนี้มากกว่า hostel เพราะเราจะยังได้ความเป็นส่วนตัวและมีเจ้าของบ้านที่น่ารักคอยให้ความช่วยเหลือ เจ้าของบ้านหลังนี้เป็นผู้หญิงที่เกษียณจากการเป็น Professor ที่มหาวิทยาลัย Mendoza ให้การต้อนรับที่ดีมาก พร้อมอธิบายว่าเราควรไปไหน อย่างไร เริ่ดดดดค่ะ

 

วันนี้เดินสำรวจเมืองน่ารักแห่งนี้ 

align= 


อาหารของคนอาร์เจนตินาที่ขึ้นชื่อก็คือ mixed grill เนื้อสัตว์นานาชนิดย่าง เป็นแบบย่าง steak ชิ้นใหญ่ๆ แต่ที่นิยมมากที่สุดคือเนื้อวัว หนึ่ง portion อิ่มไปอีกสองวัน เยอะมาก

align=

 

15 ต.ค. 55

 

เป็นวันที่ควรไปไร่องุ่น ที่เมืองนี้เป็นเมืองผลิตไวน์ที่มีชื่อของอาร์เจนตินา 

align= 


ส่วนใครที่เคยชมไร่องุ่น การผลิตไวน์มาแล้วมากมาย ก็อาจจะรู้สึกเฉยๆ และที่นี่มีเมืองโบราณด้วยนะ ถ้าใครจะไปแล้วอยากไปชมสิ่งเหล่านี้ก็จัดเรย

 

ส่วนเราเป็นคนหนึ่งที่ได้ไปชมสิ่งเหล่านี้มาพอควรแล้ว เลยไม่ใช่ที่ๆ เราโฟกัส แต่เราอยากไปนั่งในตลาดมองคนที่นี่ใช้ชีวิตดีกว่า

 

ตลาดนัดวันหยุดใน Mendoza

align=


align= 


San Martin Park

align= 


ค่ำวันนี้ เดินทางออกจาก Mendoza เพื่อไป Pucon ที่ต้องไปเปลี่ยนรถที่ Santiago 


จบตอนนี้เท่านี้ก่อน ไม่งั้นจะยาวเกินไป ตอนต่อไปจะเป็นประสบการณ์ที่ Pucon-Bariloche ค่ะ